Posts

Showing posts from June, 2011

เจ้าของหวีสับ

Image
พี่รื่นเป็นภรรยาของเพื่อนรุ่นพี่ของสามีดิฉัน เราพบกันในงานเลี้ยง พูดคุยกันถูกคอ เธอเป็นคนน่านับถือ แถมยังสวยไม่สร่างแม้ว่าอายุจะย่างเข้าห้าสิบแล้วก็ตาม ที่สำคัญ เธอผู้นี้แหละค่ะที่พาดิฉันไปพบปรากฏการณ์สุดสยอง! หลังจากรู้จักกันหลายเดือน วันหนึ่งพี่รื่นก็ชวนให้ดิฉันทำงานขายประกัน เราเป็นแม่บ้านทั้งคู่ค่ะ คือต่างก็ลาออกจากงานตั้งแต่คลอดลูกคนแรก จนกระทั่งตอนนี้ลูกอายุยี่สิบเศษเรียนจบปริญญาเรียบร้อย พี่รื่นบอกว่ามาขายประกันดีกว่า หารายได้ให้ครอบครัว แล้วยังนำสิ่งดีๆ ไปเสนอให้คนในสังคม ดิฉันตกลงเข้ารับการอบรมโดยพี่รื่นเป็นหัวหน้าสาย เธอขายประกันมานานแล้วค่ะ จนได้เป็นระดับหัวหน้า เมื่อปีที่แล้วเราต้องไปสัมมนาที่เมืองกาญจน์ เข้าพักโรงแรมระดับดีมาก ดิฉันนอนกับพี่รื่นในห้องพักที่สะอาด ทันสมัย เป็นห้องที่สวยมาก แต่ทำไมดิฉันรู้สึกแปลกก็ไม่รู้ ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ดิฉันรู้สึกเหมือนห้องนี้มีใครอยู่ ...มันเหมือนกับเวลาที่เราเปิดห้องผิดน่ะค่ะ แม้จะไม่เห็นตัว แต่ก็รู้สึกว่าใครคนนั้นอยู่ในห้องขณะเปิดประตู...มันทำให้ดิฉันชะงัก เผลอร้องอุ๊ย...ออกมาเบาๆ พี่รื่นไม่ทันได้ยิน เพราะมัวแต่หันไปหยิบกระเป๋าจากร

เงาในกระจก

Image
เรื่องที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2546 ดิฉันและพี่ๆ น้องๆ ได้รวบรวมเงินกัน แล้วก็มาเที่ยวพักผ่อนที่จังหวัดเชียงใหม่ สาเหตุที่เลือกมาจังหวัดนี้ เพราะน้องชายมารับเหมาปลูกบ้านให้กับญาติ จึงถือโอกาสมาดูบ้านและเที่ยวไปด้วยในตัว พอตกกลางคืน ก็ได้ที่พักที่อยู่ไม่ไกลมากนักกับบ้านที่ปลูกไว้ ที่พักนั้นมีลักษณะเป็นบังกะโลหลังเล็กๆ มีห้องน้ำในตัว ภายในห้องพักจะมีเตียงนอนขนาดใหญ่ เป็นเตียงเดี่ยว ราคาห้องละ 500 บาท โดยปกติก็จะพักได้ไม่เกิน 2 คน ต่อห้อง แต่ด้วยความที่เรามีเงินจำกัด จึงได้ต่อรองกับผู้ดูแลให้เช่า โดยเล่นเข้าพักห้องเดียวทีเดียวถึง 5 คน เป็นผู้ใหญ่ 4 คนและเด็ก 1 คน ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือลูกชาย ของดิฉันเอง ผู้ดูแลก็ยอมหลังจากต่อรองกันนานพอสมควร พอเปิดประตูบ้านพักให้เรียบร้อย ก็ไม่เห็นเขาย้อนมาดูอีกเลย ขอผ้าห่ม เพิ่ม 1 ผืน เขาก็ไม่เอามาให้ คิดว่าเขาคงรำคาญพวกเราเต็มแก่ ที่ต่อรองเขามากแล้วยังขอโน่นขอนี่เพิ่มอีก แต่ตอนที่จะเข้าไปบ้านพัก พวกเราก็เกิดความรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เพราะสังเกตว่ามีเครื่องรางมากกว่าห้องอื่นๆ ทั้งหน้าห้องและภายในห้องพัก มีผ้ายันต์ปิดไว้ด้วย พอขอเปลี่ยนไปพัก

วิญญาณบาป

Image
บ้านดิฉันอยู่ในซอยแถวถนนรัชดา เป็นที่รู้กันว่าย่านนั้นคึกคักสุดๆ ตั้งแต่สิบกว่าปีมาแล้ว ถ้าศุกร์เสาร์ต้นเดือนรถจะติดกันเป็นแพ ยาวเหยียดจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยก็ว่าได้สถานบริการเพียบ ทั้งโรงแรมโรงนวด ผับ บาร์ คาราโอเกะ สปาจริงและบังหน้าค้ากาม ไหนจะมีโคโยตี้ล่อตาล่อใจพวกนักเที่ยวกระเป๋าหนักอีกต่างหาก ดิฉันรู้เรื่องนี้เพราะสามีเล่าให้ฟังค่ะ! บ้านเราอยู่ค่อนข้างลึก นับว่าดีไปอย่างที่ห่างจากปากซอย เพราะที่นั่นมีทั้งผับและโรงนวด แสงไฟสว่างไสว เสียงก็ดังไปจนดึกดื่น เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บอกว่าแทบจะไม่เป็นอันหลับอันนอน ตอนแรกๆ ประสาทจะกินตายก็แล้วกัน อาศัยว่าดิฉันกับน้องสาวเป็นคนเก่าแก่ อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่จำความได้ เลยรู้จักคนในซอยมากมายค่ะ หลายๆ คนเรียนหนังสือมาด้วยกัน เติบโตจนทำงานและมีครอบครัว มีลูกเต้าแล้วก็ยังอยู่ที่นั่นตามเดิม ระยะหลังๆ พวกขโมยขโจรชักจะหนาตาขึ้นทุกที เดี๋ยวขึ้นบ้านนั้น เดี๋ยวเข้าบ้านนี้ เชื่อว่าเป็นพวกติดยากับไม่มีงานทำ เพื่อนบ้านได้แต่บอกกล่าวและปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเตือนกันให้ช่วยระวังตัว พ่อบ้านบางคนอารมณ์ร้อนถึงกับประกาศว่าถ้าขโมยขึ้นบ้านเขาเมื่อไหร่จะยิงทิ้งเสี

ตุ๊กตาคู่

Image
"ทยิดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นยมทูตมารับวิญญาณ ดิฉันเป็นเด็กกำพร้าพ่อ เราสองแม่ลูกต้องอาศัยอยู่กับญาติชื่อคุณยายสมร..เพราะสาเหตุนี้เองค่ะที่ดิฉันได้พบกับเรื่องน่าขนลุกขนพองที่สุดในชีวิต! คุณยายสมรเป็นคนอ้วนดำ ตัวใหญ่ ปากร้าย เจ้าระเบียบ เอาแต่ใจตัวเอง ชอบระบายอารมณ์กับเรา ถึงแม้จะมีฐานะร่ำรวย ลูกเต้าหลายคนก็จริง แต่ทุกคนเมื่อแต่งงานแล้วก็แยกบ้านกันไปหมด เพราะทนปากคุณแม่ไม่ไหว สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากความเป็นคนขี้โรคของคุณยายก็ได้ค่ะ ทั้งเบาหวาน ไตพิการ ความดันสูงและโรคหัวใจ.. ก่อนตายได้เดือนเศษก็เป็นงูสวัดค่ะ ดูๆ ก็น่าสงสารเพราะไข้ขึ้นสูง ปวดและอ่อนเพลียจนลุกไม่ได้เลย จนต้องหอบหิ้วกันไปโรงพยาบาล ดิฉันเป็นคนอยู่เฝ้าไข้เพราะเป็นช่วงมหาวิทยาลัยปิดเทอมใหญ่..ไม่ได้คิดเลยว่าจะตาย กลับคิดว่าอีกราวอาทิตย์เดียวก็หาย กลับบ้านได้ เมื่อไปอยู่โรงพยาบาลราว 3-4 วัน คุณยายสมรก็ดูค่อยยังชั่วขึ้น พูดได้แม้จะอ่อนระโหยโรยแรง แต่ตอนหลังๆ ชักเพ้อเจ้อพิกล บางทีก็พูดกับใครที่มองไม่เห็น.. ดิฉันก็กลัวซิคะ แหม! อยู่โรงพยาบาลนี่นา เล่นพูดกับอะไรไม่รู้ที่มาอยู่รอบๆ เตียง! สายตาคุณยายก็มักมองตามสิ่ง

วิญญาณหลงทาง

Image
"คนชุดขาว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนครราชสีมา ดิฉันเป็นพยาบาลมาสิบปีเศษ โดยอาชีพแล้วพวกเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องภูตผีหรือวิญญาณอะไรหรอกค่ะ ยิ่งต้องคลุกคลีกับคนไข้ คนเจ็บคนตายมานับไม่ถ้วน ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกชาชินเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ยอมรับว่าตอนเป็นนักเรียนพยาบาลใหม่ๆ ก็กลัวผีกันทุกคนละค่ะ ไม่ว่าภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่มากระทบจมูก บรรยากาศมันชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจบอกไม่ถูก โดยเฉพาะกลิ่นยา กลิ่นเลือด กลิ่นของความเจ็บปวดและความตายที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัว เสียงคราญครางโอดโอยของคนไข้ เสียงสะอึกสะอื้นของญาติผู้เสียชีวิต เสียงถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล่องลอยมากระทบหู ทำให้หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากผู้ไม่มีร่างกาย! ถ้าวิญญาณมีจริง โรงพยาบาลก็คงจะเป็นแหล่งรวมของวิญญาณมากที่สุด! ยิ่งคิดยิ่งสยอง! หลายครั้งก็หลอนตัวเอง... เรื่องผีในโรงพยาบาลได้ยินบ่อยมาก เดี๋ยวคนไข้ในห้องรวมเล่า เดี๋ยวคนไข้ห้องพิเศษเล่า พวกเพื่อนรุ่นน้องบางคนก็มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าว่า ตอนมาเข้าเวรเห็นคนไข้มานั่งที่บันได...กอดอก ตาเหม่อ ตกใจว่าออกมาได้ยังไง เมื่อคืนยังอาการหนัก

สาเหตุจากโลงเย็น

Image
เมื่อ 5-6 ปีก่อน ข้าพเจ้ากับเพื่อนได้เดินทางไปกาญจนบุรีเพื่อปฏิบัติธรรม ได้เข้าพักที่วัดในสังขละบุรี แต่เผอิญไปถึงตอนค่ำและกุฏิที่จะเข้าพักหาลูกกุญแจไม่เจอพระท่านจึงให้เข้าพักที่โรงครัว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็สะดุดตากับวัตถุรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คลุมด้วยผ้าสีน้ำเงินมีป้ายเขียนว่า "โลงเย็น" ข้าพเจ้าขนลุกทันที แต่นึกได้ว่าเราเองก็ต้องมานอนในนี้เช่นกัน โลงก็ว่างอยู่จะไปกลัวอะไร ข้างหลังโลงเย็นมีห้องเล็กๆ ที่พระจะให้เราเข้าพัก พอเปิดประตูก็ปรากฏว่าไฟเสีย ไฟในโลงเย็นก็เสียเช่นกัน มีเพียงไฟข้างนอกเท่านั้นที่ติด เราจึงต้องใช้เทียนไข หลังจากอาบน้ำเสร็จกลับมาเพื่อนก็ถามว่าได้กลิ่นอะไรไหม? เขาโดนกลิ่นนั้นรบกวนจนปวดหัว ข้าพเจ้าปลอบว่าอย่าไปรังเกียจเลย ถึงเวลาของเรากลิ่นก็ไม่ต่างกัน เราคุยกันจนถึงเที่ยงคืน ก็มีเสียงทุบประตูดังโครมๆ... โครมๆ เราได้แต่มองหน้ากันแต่ไม่กล้าพูดอะไร แล้วมีเสียงดังตึงๆๆๆ เราหันมาสบตากันอีกครั้ง แล้วแหงนหน้ามองดูที่มาของเสียง พอเงียบข้าพเจ้าก็พูดขึ้นว่า...พรุ่งนี้จะถวายอาหารเลี้ยงพระ แล้วกรวดน้ำไปให้! จนตีหนึ่ง เพื่อนหยิบตะปูทองเหลืองส่งให้ พลางบอกว่า "นี่เป็น

สะพานผีสิง

Image
เมื่อราว 5-6 ปีก่อน เคยมีอุบัติเหตุรถผสมปูนวิ่งขึ้นมาบนสะพานลอยข้ามแยกกำแพงเพชร เลี้ยวขวาไปลงแถวหน้าตลาดอ.ต.ก. แต่รถเกิดหลุดโค้ง พุ่งทะลุราวกั้นหล่นโครมลงไปบนถนนข้างล่าง เกิดเรื่องสยดสยองสุดขีดทันใด นั่นคือ เด็กท้ายรถโดนแรงอัดขาขาดตกอยู่บนพื้นสะพาน ส่วนร่างแหลกเหลวยับเยินพุ่งผ่านหน้าต่างของตึกข้างถนน เข้าไปนอนตายคาที่อยู่ชั้นสองนั่นเอง! ใครได้ฟังข่าวทางวิทยุล้วนแต่เศร้าสลดระคนเสียวสันหลังไปตามๆ กัน ผมกับเพื่อนเคยเจอะเจอเหตุการณ์ขนหัวลุก ไม่ใช่วิญญาณที่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้นหรอกครับ มันเกิดขึ้นก่อนนานแล้ว ที่ผมเสียวสันหลังก็เพราะเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างที่สิงสู่อยู่บนสะพานนั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องสยองนั่นก็เป็นได้ ตอนนั้นผมไปงานแต่งงานเพื่อนรุ่นน้องแล้วไปต่อกับเพื่อนๆ จนถึงตีสองถึงได้แยกย้ายกันกลับ ถนนโล่งว่าง ผมขับรถมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง โดยมีบ้านที่อยู่แถวประดิพัทธ์เป็นจุดหมาย ครั้นมาถึงทางที่โค้งจะลงถัดอ.ต.ก.ไปหน่อย แสงไฟ ตัดกับหมอกสีเหลืองส้ม ผมเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ราว 5-6 ขวบกำลังยืนอยู่คนเดียวข้างรั้วด้านขวา ร่างแกผ่ายผอมดูกระจ้อยร่อยน่ากลัวพิลึก... เด็ก

ห้องสีชมพูที่ มช.

Image
ห้องสีชมพูที่มช. โดยเฉพาะนศ.หญิงที่จะต้องพักที่หอ 8 โดยรุ่นพี่ที่เคยอยู่หอนี่จะบอกและย้ำเสมอว่า เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเอาเพื่อนไปด้วยเสมอ ห้ามลืมเด็ดขาด!! นี่คือคำเตือนของรุ่นพี่ประจำหอที่เพื่อนผมได้ฟังตอนปีหนึ่ง แล้วรุ่นพี่อีกคนก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติของห้องสีชมพูนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ปี 2532 ของนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง ซึ่งประเพณีหรือเรียกว่ากฏของ มช.คือเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน เพื่อที่เวลาพี่เรียกมาทำกิจกรรมรับน้องจะได้พร้อมกันอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่อยู่เชียงใหม่ส่วนมากจะกลับบ้านเย็นวันศุกร์ (ถ้าวันเสาร์รุ่นพี่ไม่นัด)กลับเข้าหอก่อนเย็นวันอาทิตย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะเกิดมาชอบนศ.หญิงน้องใหม่คนหนึ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นับวันยิ่งดูรักกันมากขึ้นทุกวันจนมาถึงกลางเทอม รุ่นพี่คนนี้เลยชวนนศ.หญิงไปอยู่ด้วยกันที่หอหลัง มช. ทุกเย็นวันศุกร์หน้าหอ 8 จะมีรุ่นพี่คนนี้มาจอดรถรอนศ.หญิงคนนี้ทุกครั้ง และจะมาส่งตอนเย็นวันอาทิตย์ทุกครั้ง เป็นไปอย่างนี้เกือบจะ 5 เดือนจนเป็นที่อิจฉาของเหล่านศ.หญิงที่หอนั้น ใครเห็นก็ต่างพูดแซวอยู่ตลอดเวลา ทำให้นศ.หญิงรู้สึกดีใจและร